โรคกรดไหลย้อน

แชร์ Share Facebook Share Line

โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD) เป็นภาวะที่น้ำย่อยและกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นสู่หลอดอาหาร ซึ่งแตกต่างจากโรคกระเพาะอาหารที่คนไทยคุ้นเคยอยู่ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบันทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบประมาณ 7.4% ในประชากรไทย ซึ่งมากกว่าอุบัติการณ์ของโรคเบาหวานที่ 4%

สาเหตุ

สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ได้แก่

  • การรับประทานอาหารมื้อดึก มื้อใหญ่ หรืออาหารรสจัด
  • ดื่มเครื่องดื่มบางชนิดเช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม แอลกอฮอล์
  • สูบบุหรี่
  • ความเครียด
  • โรคประจำตัวบางอย่างเช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หืดหอบ
  • ตั้งครรภ์

อาการ

อาการแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

  1. อาการนอกหลอดอาหาร เช่น เจ็บคอเรื้อรัง ไอเรื้อรัง เสียงแหบ
  2. อาการในหลอดอาหาร เช่น แสบร้อนหน้าอก เรอเปรี้ยว จุกเสียด ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน กลืนลำบาก ฟันผุ

อาการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต หรือนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา เช่น หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง แผลในหลอดอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร

ระดับความรุนแรง

ภาวะกรดไหลย้อนสามารถแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้

  1. การไหลย้อนจากกระเพาะอาหารที่พบในคนปกติ (Gastroesophageal Reflux)
  2. โรคกรดไหลย้อน ที่กรดไหลย้อนเข้าสู่ส่วนต้นของหลอดอาหาร
  3. กรดไหลย้อนรุนแรงจนถึงหลอดคอ (Laryngopharyngeal Reflux)

การวินิจฉัยและรักษา

การวินิจฉัยโดยทั่วไปจะให้ลองรับประทานยารักษากรดไหลย้อน หากอาการดีขึ้นใน 2 สัปดาห์ ถือว่ามีโรคนี้ การรักษาประกอบด้วย

  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การนอน สามารถควบคุมอาการได้ประมาณ 20%
  2. การรับประทานยา สามารถควบคุมอาการได้สูงถึง 80-100%
  3. การผ่าตัดในรายที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล โดยการผูกหูรูดกระเพาะเพื่อป้องกันการไหลย้อน

การป้องกัน

สำหรับการป้องกันโรคนี้ สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ดังนี้

  • ทานอาหารให้ตรงเวลาและมื้อเล็กๆ หลายมื้อ
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อดึกและอาหารรสจัด
  • ลดหรืองดเครื่องดื่มที่กระตุ้นการหลั่งกรดและลดแรงบีบตัวของกระเพาะ
  • เลิกสูบบุหรี่
  • ควบคุมน้ำหนัก ลดความอ้วน
  • จัดการความเครียด
  • หลีกเลี่ยงการนอนหงายและยกศีรษะสูงเล็กน้อยขณะนอน

โรคกรดไหลย้อนมีความสำคัญและพบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมและป้องกันโรคนี้ เพื่อไม่ให้นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง