รู้ลึกรู้จริง vs รู้กว้าง: ข้อดีข้อเสียของ Specialist และ Generalist

แชร์ Share Facebook Share Line

ในโลกของการทำงาน การตัดสินใจเลือกระหว่างการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialist) หรือผู้ที่มีความรู้กว้างขวางในหลาย ๆ ด้าน (Generalist) นั้นมีความสำคัญมาก การเลือกระหว่างทั้งสองนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ความสนใจส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับลักษณะของงานที่ต้องการทำ ความต้องการของตลาดแรงงาน และทิศทางของอุตสาหกรรมด้วย

Specialist: รู้ลึกรู้จริง

ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialist) คือบุคคลที่มีความรู้และทักษะในด้านใดด้านหนึ่งอย่างลึกซึ้ง พวกเขามักจะผ่านการศึกษาและฝึกฝนอย่างเข้มข้นในสายอาชีพที่เลือก

ข้อดีของการเป็น Specialist

  • ความชำนาญสูง: ผู้เชี่ยวชาญมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้ดี เนื่องจากพวกเขามีความรู้ลึกซึ้งในด้านนั้น ๆ
  • คุณค่าในตลาดแรงงาน: ในบางอุตสาหกรรม ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นที่ต้องการสูง เช่น เทคโนโลยี การแพทย์ และวิศวกรรม
  • ความก้าวหน้าในสายอาชีพ: การเป็นผู้เชี่ยวชาญมักจะได้รับโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งหรือได้รับการยอมรับในวงการงานมากขึ้น
  • คู่แข่งน้อย: จำนวนคนที่มีทักษะเฉพาะทางในตลาดแรงงานมีน้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้การแข่งขันลดลงและสามารถเรียกเงินเดือนได้สูงกว่า

ข้อเสียของการเป็น Specialist

  • ความยืดหยุ่นต่ำ: การมีความรู้ลึกซึ้งในด้านเดียวทำให้ยากต่อการปรับตัวในสถานการณ์ที่ต้องการทักษะที่หลากหลาย
  • ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลง: เมื่อเทคโนโลยีหรือทิศทางของอุตสาหกรรมเปลี่ยนไป ผู้เชี่ยวชาญอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการเรียนรู้และปรับตัวใหม่
  • การทำงานที่จำกัด: บางครั้งผู้เชี่ยวชาญอาจพบว่าโอกาสในการทำงานมีจำกัดเพราะไม่สามารถทำงานในด้านอื่นได้

Generalist: รู้กว้าง

ผู้ที่มีความรู้กว้างขวางในหลาย ๆ ด้าน (Generalist) คือบุคคลที่มีทักษะและความรู้ในหลากหลายสาขาวิชา พวกเขามักจะมีความสามารถในการปรับตัวและทำงานได้ในหลายบทบาท

ข้อดีของการเป็น Generalist

  • ความยืดหยุ่นสูง: Generalist สามารถปรับตัวได้ง่ายในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • การแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย: ด้วยความรู้และทักษะที่หลากหลาย พวกเขาสามารถมองเห็นภาพรวมและหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้มากมาย
  • โอกาสในการทำงานที่หลากหลาย: Generalist สามารถทำงานในหลายตำแหน่งและอุตสาหกรรมได้
  • การเติบโตในสายงาน Management: ด้วยทักษะการแก้ไขปัญหาและการสื่อสารที่หลากหลาย Generalist มักจะเป็นที่ต้องการในสายงานบริหาร

ข้อเสียของการเป็น Generalist

  • ความชำนาญน้อยกว่า: แม้จะมีความรู้หลากหลาย แต่ Generalist มักจะไม่มีความเชี่ยวชาญลึกซึ้งในด้านใดด้านหนึ่ง
  • การยอมรับในบางอุตสาหกรรม: บางอุตสาหกรรมหรือองค์กรอาจให้คุณค่ากับความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากกว่า
  • ความมั่นคงในหน้าที่การงานต่ำกว่า: Generalist อาจถูกแทนที่ได้ง่ายกว่าเนื่องจากไม่มีทักษะเฉพาะทางที่แตกต่างจากคนอื่น
  • ความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่หลากหลาย: Generalist มักจะต้องทำงานในหลายบทบาท อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่หลากหลายเกินไป

การเลือก Specialist หรือ Generalist ในโลกยุคใหม่

"รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียว ขอให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล" เป็นสำนวนโบราณที่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่ประเด็นคือ สำนวนนี้ยังสามารถใช้ได้อยู่ในโลกยุคปัจจุบันหรือไม่?

ในยุคที่ตลาดงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการทั้ง Specialist และ Generalist มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ขนาดขององค์กรก็มีส่วนสำคัญในการคัดเลือกคนเข้าทำงานด้วย โดยองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการแบ่งแผนกและสายงานอย่างชัดเจนมักจะต้องการคนที่รู้ลึกและมีทักษะเฉพาะทาง ส่วนองค์กรขนาดเล็กหรือบริษัท Startup มักจะเลือกคนที่มีความรู้แบบกว้าง ๆ รู้รอบหลาย ๆ ด้าน

งานวิจัยและข้อมูลที่สนับสนุน

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียสำรวจผู้ที่เรียนจบ MBA จำนวน 400 คน โดยพบว่า คนที่จบโดยเชี่ยวชาญด้าน Investment Banking ได้รับการเสนองานน้อยกว่าคนที่มีแบ็กกราวด์และประสบการณ์ที่รู้อะไรแบบกว้าง ๆ ซึ่งอาจจะมาจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง และกระแสการทำงานแบบ Startup ที่บริษัทใหญ่ ๆ หลายบริษัทก็หันมาทำงานสไตล์ Startup ด้วย

การพัฒนาตนเองให้สมดุล

ทีนี้เราควรจะเป็นแบบไหนกันล่ะ? ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าตัวเองชอบอะไร ชอบเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ รอบตัว หรือเป็นคนที่ชอบรู้ลึกในศาสตร์ที่เราสนใจ และพยายามสร้างความสมดุลระหว่างการเป็น Generalist กับ Specialist ขึ้น นั่นก็คือการมีความรู้แบบตัว "T" คือการมีความรู้เชิงลึกหรือเชี่ยวชาญอะไรสักด้าน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีความรอบรู้ด้านอื่น ๆ ด้วย

เคล็ดลับในการเลือกเส้นทางที่เหมาะสม

  • ค้นหาความชอบและเป้าหมายส่วนตัว: ถามตัวเองว่าชอบทำงานในลักษณะไหน รู้ลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือมีความรู้รอบด้านในหลายเรื่อง
  • พิจารณา Career Path ที่เป็นไปได้: ศึกษาเกี่ยวกับเส้นทางการเติบโตในสายงานที่สนใจ ว่าต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือความรู้รอบด้าน
  • ประเมินความสามารถและทักษะของตนเอง: ทบทวนว่าทักษะและความสามารถของตนเองตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในสายงานไหน
  • สร้างความสมดุลระหว่าง Generalist และ Specialist: การมีความรู้แบบตัว "T" คือการมีความรู้เชิงลึกในบางเรื่อง และมีความรู้รอบด้านในเรื่องอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและโอกาสในการทำงาน

ไม่ว่าคุณจะเป็น Generalist ที่เพิ่งเริ่มหางาน หรือ Specialist ที่ต้องการทำงานในองค์กรใหญ่ที่มั่นคงและเป็นระบบ การหางานที่ตอบโจทย์ชีวิตการทำงานของคุณต้องคำนึงถึงความชอบส่วนตัว ทักษะที่มี และทิศทางของตลาดแรงงานในปัจจุบันด้วย